"Medical care - in all of medicine - not just primary care - is a human interaction between patient and doctor within a context and in a social system. As such it is not a commodity."
ในบทที่ 4, Groopman ให้ชื่อว่า Gatekeeper เขาเล่าเรื่องของ primary care doctor. เร่ิมด้วยเรื่องของหมอ McEvoy (general pediatrician) ซึ่งใช้เวลาในการทำงานอยู่กับเด็ก ทั้งเด็กป่วยและเด็กที่มาตรวจสุขภาพทั่วไปที่คลินิก, . McEvoy เล่าว่าการเป็นหมอเด็กนั้นมีข้อดีเนื่องจากได้ตรวจเด็กๆ ที่ไม่ป่วย หรือป่วยเล็กๆน้อยๆ ทำให้ทำงานได้อย่างสดใส แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ว่าเด็กส่วนใหญ่ที่มาตรวจมักจะปกติ ทำให้หมอเด็กมองข้ามลักษณะอาการของโรคบางอย่างไปได้ง่าย (เป็น bias ชนิดหนึ่ง). McEvoy เปรียบการทำงานของหมอเด็กทั่วไปว่าเหมือนกับคนริมถนนดูรถไฟวิ่งออกจากชานชลา จะให้มองหาคนรู้จักบนรถไฟที่กำลังวิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย. McEvoy จึงมีคติเตือนใจตัวเองทุกครั้งที่ออกตรวจเด็ก คือต้องถามตัวเองว่าเด็กคนน้ีมีปัญหารุนแรงอะไรที่เป็นไปได้บ้างหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ไม่มองข้าม
Groopman เล่าเรื่องของลูกตัวเองที่ป่วย ไม่ยอมกินอาหารและอาเจียน ระหว่างที่เดินทางไปต่างรัฐ เขาพาลูกไปตรวจที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และได้รับการวินิจฉัยจากหมอว่าไม่เป็นอะไรมาก นอกนั้นหมอเด็กยังแซวว่าพ่อแม่เป็นหมอก็มักจะกังวลเรื่องลูกตัวเองมากกว่าปกติ. หลังจากพาลูกกลับมาที่บอสตัน พบว่ายังมีอาการผิดปกติอยู่จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลเด็ก ซึ่งวินิจฉัยว่าลูกเขาเป็น intestinal obstruction. เขาชี้ให้เห็นว่า ในชีวิตของหมอทั่วไปนั้น โอกาสวินิจฉัยผิดพลาดมีไม่น้อยเพราะว่าหมอทั่วไปมักจะพบแต่คนไข้ที่ป่วยไม่รุนแรง หรือว่าไม่่ป่วย ทำให้เมื่อมีคนที่ป่วยจริงมากก็มองข้ามไป
ในสังคมอเมริกันนั้น มีชนชาติหลากหลายอยู่ร่วมกัน ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ทำให้การปฏิบัติงานของหมออาจจะลำบากขึ้น เขายกตัวอย่างของ Azar ซึ่งเป็นลูกชาวอิหร่านที่ย้ายมาอยู่อเมริกา ป่วยเป็น autism ซึ่งกว่าจะวินิจฉัยได้ก็ผ่านไปปีกว่าเนื่องจากครูและเพื่อนที่โรงเรียนคิดว่า Azar ไม่พูดเพราะว่าต่างภาษาและขี้อาย
นอกจากนั้น เขายังเล่าเรื่องของ Manning ซึ่งป่วยเป็น hypertension, diabetes, และ coronary artery disease ที่ผ่านการตรวจรักษามานานหลายปี แต่ยังควบคุมทั้งความดันโลหิต และระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ดี ปรากฎว่าสาเหตุที่คุมไม่ได้เนื่องจาก Manning อ่านสลากยาไม่ออก ทำให้ไม่เข้าใจวิธีการกินยาที่ถูกต้อง
เรื่องราวในตอนนี้ ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าการทำงานเป็นด่านหน้าในการตรวจผู้ป่วยนั้นไม่ง่าย และแพทย์ต้องช่างสงสัย และถามตัวเองอยู่เสมอว่ามีอะไรในคนไข้คนนี้ที่เราอาจตรวจพลาดไปได้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะมองข้ามไปได้ง่ายเนื่องจากส่วนใหญ่จะเจอแต่คนไข้ที่ไม่ป่วยหรือป่วยไม่มาก
---
In chapter 4, Groopman shows us a life of primary care doctors. He compares a busy practice of primary care medicine to catching a familiar face of people in a speedy train. Less time, but more patients for primary care doctors. He examples a general pediatrician, Dr. McEvoy, as a devoted pediatrician working hard to find out diseases out of thousands of mostly normal kids. Dr.McEvoy thinks that it is a curse in pediatric general care, that almost all children coming to the office are normal or have minor problems. He also shares his own experience when his kid had a diagnosis of intestinal obstruction, that was missed by another doctor at a different hospital.
---
Jerome Groopman ปัจจุบันเป็น Professor (medicine) ที่ Beth Israel Deaconess Hospital (Boston). เขาจบแพทย์จาก Harvard Medical School และทำ internship กับ medicine ในรั้ว Harvard ที่ Massachusetts General Hospital. เขาเคยทำงานที่ UCLA Medical Center ก่อนจะย้ายกลับมาอยู่ที่บอสตัน.